สาระน่ารู้ วันสงกรานต์

สาระน่ารู้ วันสงกรานต์




ในที่สุดเทศกาลที่หลายต่อหลายหลายคนรอคอย ก็มาถึง จะเป็นวันอื่นไปไม่ได้ วันที่กล่าวถึงก็ คือเทศกาลสงกรานต์นั่นเอง!
เพราะหลายๆคนคงตั้งตารอที่จะหยุดยาว กลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือต่างจังหวัด เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลที่มีประวัติมายาวนาน 
และหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า มีความเป็นมาอย่างไร วันนี้ CRM Ultra จึงมานำเสนอ สาระน่ารู้ในวันสงกรานต์ให้ทุกท่านได้ทราบกัน






"สงกรานต์" หรือ “สํ-กรานต” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ก้าวขึ้น ผ่าน หรือการเคลื่อนที่ ย้ายที่ หมายถึง เวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากตีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งทุก ๆ เดือน เรียกว่า สงกรานต์เดือน ยกเว้นเมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ เมื่อใดก็ตามจะเป็นสงกรานต์ และเรียกชื่อพิเศษว่า "มหาสงกรานต์" ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามคติพราหมณ์ โดยเป็นการนับทางสุริยคติ (วิธีนับวันและเดือนโดยถือกำหนดตำแหน่งดวงอาทิตย์เป็นหลัก) 





ตำนานวันสงกรานต์

สมัยก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง  อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล  ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก  ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง  หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา  ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด  ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก  แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ  วันหนึ่งเศรษฐี จึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท  เฒ่านักดื่มจึงตอบ  ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง  แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร  ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด  สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้  และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ  นับ แต่นั้นมา  เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ  จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์  เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร  ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี  ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนาจนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์  ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง  ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลา ย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง  7  ครั้ง  แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น  เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร  เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร  จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์  ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี  พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ  "ธรรมบาล" ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี  เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย  เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า  ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา  เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง  7  ชั้น  ถวายเทพต้นไทร





เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น  เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม  รอบรู้  และวัยเพียง  7  ขวบก็เรียนจบไตรเพท  ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ  "ท้าวกบิลพรหม" ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย  จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา  3  ข้อ  ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง  3  ข้อได้  กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา  ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้  ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้  ปัญหานั้นมีว่า

          1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด

          2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด

          3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด

          เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว  ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้  จึงผลัดวันตอบปัญหาไปอีก  7  วัน  ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป  6  วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้  จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า  และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล  ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่  นางนกถามสามีว่า  "พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน"  นกสามีก็ตอบว่า  "พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล  เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร  ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว  เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้  นางนกถามว่า "ปัญหานั้นว่าอย่างไร"  นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่  3  ข้อ  และหมายถึง

          ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า

          ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก

          ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน

          ธรรมบาลกุมาร  ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี  และจำจนขึ้นใจ  ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก  จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน  รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา  ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ  ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ทำให้ท้าวกบิลพรหมพ่ายแพ้ไป





ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก  ธิดาทั้ง  7  ของตน อันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกั น แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร  แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก  ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ  อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น  ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุท ร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน  จึงสั่งให้นางทั้ง  7  คน  เอาพานมารองรับศีรษะแล้วจึงตัดศีรษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต  นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ  60  นาที  แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี  เขาไกรลาส  บูชาด้วยเครื่องทิพย์  พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว  7  ประการ  ชื่อภควดี  ให้เป็นที่ประชุมเทวดา  เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต  7  ครั้ง  แล้วก็แจกกันเสวยทุก ๆ องค์  ครั้นครบ  365  วัน  โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์  ธิดา  7  องค์  ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี  แล้วจึงกลับไปเทวโลก เกิดเป็นตำนานนางสงกรานต์ขึ้น





นางสงกรานต์ประจำปีนี้ คือ มโหธรเทวี

เป็นนางสงกรานต์ประจำวันเสาร์  ทัดดอกสามหาว  (ผักตบชวา)  มีนิลรัตน์เป็นเครื่องประดับ  ภักษาหารคือเนื้อทราย  อาวุธคู่กาย  พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือตรีศูล  เสด็จประทับเหนือมยุราปักษา  (นกยูง)




ดังนั้น การกำหนดวันนับสงกรานต์จึงตกอยู่ในระหว่างวันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน ซึ่งทั้ง 3 วันจะมีชื่อเรียกเฉพาะดังนี้ 

วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า มหาสงกรานต์
หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์ก้าวขึ้นสู่ราศีเมษอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ผ่านการเข้าสู่ราศีอื่น ๆ แล้วจนครบ 12 เดือน

วันที่ 14 เมษายน เรียกว่า วันเนา
หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าอยู่ราศีเมษประจำที่เรียบร้อยแล้ว

 วันที่ 15 เมษายน เรียกว่า เถลิงศก หรือวันขึ้นศก
คือวันที่เริ่มจุดเปลี่ยนศักราชใหม่ การที่กำหนดให้อยู่ในวันนี้นั้นเพื่อให้แน่ใจได้ว่าดวงอาทิตย์โคจรขาดจากราศีมีนขึ้นอยู่ราศีเมษแน่นอนแล้ว อย่างน้อย 1 องศา


CRM Ultra ขออวยพรให้ท่าน มีแต่รอยยิ้ม ความสุขและความอิ่มเอมใจ ด้วยรักและห่วงใย สวัสดีวันสงกรานต์ 2567


แหล่งข้อมูลอ้างอิงเนื้อหาจาก กระทรวงวัฒนธรรม, กรมศิลปากร
 150
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์