• หน้าแรก

  • Blog

  • อะไรคือกระแส CRM ที่เป็นที่นิยมในการทำธุรกิจ

อะไรคือกระแส CRM ที่เป็นที่นิยมในการทำธุรกิจ

  • หน้าแรก

  • Blog

  • อะไรคือกระแส CRM ที่เป็นที่นิยมในการทำธุรกิจ

อะไรคือกระแส CRM ที่เป็นที่นิยมในการทำธุรกิจ


เนื้อหาภายในบทความ

กระแส CRM หรือ Customer Relationship Management เป็นแนวคิดและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า สร้างความภักดีต่อแบรนด์ และเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจ กระแส CRM ในปัจจุบัน





ประโยชน์จากการใช้งานโปรแกรม CRM 

ระบบ CRM ช่วยบูรณาการข้อมูลและกระบวนการทำงานกับลูกค้าไว้อย่างเป็นระบบ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการและการขาย ในขณะเดียวกันยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินงานได้อีกด้วย






การมองเห็นและรู้จักลูกค้ารอบด้าน

หมายถึง การทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งในหลายมิติ ซึ่งรวมถึงหลายสิ่ง ดังต่อไปนี้

  1. ข้อมูลพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป้น อายุ เพศ อาชีพ รายได้ การศึกษา
  2. พฤติกรรมการซื้อ ทั้งความถี่ในการซื้อ ประเภทสินค้าที่ชอบ ช่องทางการซื้อที่ชอบ
  3. ความชอบและรสนิยม สไตล์การใช้ชีวิต งานอดิเรก ความสนใจ
  4. ความต้องการและปัญหา สิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหา ปัญหาที่ต้องการแก้ไข
  5. ทัศนคติและค่านิยม มุมมองต่อแบรนด์ ความเชื่อ สิ่งที่ให้ความสำคัญ
  6. การตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยที่มีอิทธิพล กระบวนการตัดสินใจ
  7. ประสบการณ์กับแบรนด์ ความพึงพอใจ ความภักดี ข้อติชม
  8. บริบททางสังคมและวัฒนธรรม อิทธิพลจากครอบครัว เพื่อน สังคม


การเข้าใจลูกค้าในมิติต่างๆ เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง






การสร้างช่องทางที่ครอบคลุมทุกการสื่อสาร เพื่อเข้าถึงลูกค้า


หมายถึง การพัฒนาและใช้หลากหลายช่องทางในการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหนหรือชอบการสื่อสารรูปแบบใด นี่คือแนวคิดของการสื่อสารแบบ Omni-channel ซึ่งประกอบด้วย

  1. ช่องทางออนไลน์
    • เว็บไซต์
    • แอปพลิเคชันมือถือ
    • อีเมล
    • โซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, Twitter, LinkedIn ฯลฯ)
    • แพลตฟอร์มส่งข้อความ (LINE, WhatsApp, Messenger)
  2. ช่องทางออฟไลน์
    • หน้าร้านหรือสำนักงาน
    • โทรศัพท์
    • การประชุมหรืองานอีเวนต์
    • จดหมายหรือไปรษณีย์
  3. การโฆษณาและการตลาด
    • สื่อสิ่งพิมพ์
    • โทรทัศน์และวิทยุ
    • ป้ายโฆษณา
    • การตลาดดิจิทัล
  4. บริการลูกค้า
    • ศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์
    • ระบบแชทอัตโนมัติ
    • การสนับสนุนผ่านอีเมล
    • FAQs บนเว็บไซต์
  5. การเก็บข้อมูลและวิเคราะห์
    • ระบบ CRM
    • การสำรวจความพึงพอใจ
    • การวิเคราะห์พฤติกรรมออนไลน์


การใช้ช่องทางที่หลากหลายนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถ

  • เข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลา
  • ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน
  • สร้างประสบการณ์ที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกันในทุกช่องทาง
  • เพิ่มโอกาสในการขายและการสร้างความภักดีต่อแบรนด์





การเสิร์ฟประสบการณ์แบบ Customer Personalization


หมายถึง การนำเสนอสินค้า บริการ และการสื่อสารที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย โดยอาศัยข้อมูลและเทคโนโลยี เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจและมีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งประกอบด้วยแนวคิดต่อไปนี้

  1. การใช้ข้อมูลลูกค้า
    • วิเคราะห์ประวัติการซื้อ
    • พฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์หรือแอป
    • ข้อมูลประชากรศาสตร์
    • ความชอบและความสนใจ
  2. การปรับแต่งผลิตภัณฑ์และบริการ
    • แนะนำสินค้าที่เหมาะสมกับรสนิยมของลูกค้า
    • ปรับแต่งบริการให้ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล
  3. การสื่อสารที่เฉพาะเจาะจง
    • ส่งอีเมลหรือข้อความที่ปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน
    • นำเสนอโปรโมชันที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า
  4. ประสบการณ์ดิจิทัลที่ปรับแต่งได้
    • หน้าเว็บไซต์ที่แสดงผลต่างกันตามพฤติกรรมของผู้ใช้
    • แอปพลิเคชันที่ปรับการใช้งานให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน
  5. การให้บริการลูกค้าแบบส่วนตัว
    • พนักงานมีข้อมูลประวัติและความชอบของลูกค้า
    • ระบบตอบรับอัตโนมัติที่จดจำและปรับการสนทนาตามลูกค้า
  6. การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว
    • โปรแกรมสมาชิกที่มอบสิทธิประโยชน์เฉพาะบุคคล
    • การติดตามและตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้า
  7. การใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning
    • ระบบแนะนำสินค้าอัจฉริยะ
    • การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อคาดการณ์ความต้องการในอนาคต
  8. การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
    • ปรับปรุงโมเดล Personalization ให้แม่นยำยิ่งขึ้น
    • ทดสอบและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ


การเสิร์ฟประสบการณ์แบบ Customer Personalization ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า สร้างความภักดีต่อแบรนด์ และเพิ่มโอกาสในการขาย โดยทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลและเข้าใจอย่างแท้จริง






ทุกฝ่ายทำงานอย่างเชื่อมต่อถึงกัน 


หมายถึง การที่ทุกแผนกหรือหน่วยงานในองค์กรทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสานงาน และสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันขององค์กร แนวคิดนี้ประกอบด้วย

  1. การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
    • มีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย
    • แบ่งปันข้อมูลและอัปเดตสถานะงานอย่างสม่ำเสมอ
  2. การใช้เทคโนโลยีสนับสนุน
    • ใช้ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทั้งองค์กร
    • ใช้แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน เช่น Microsoft Teams, Slack
  3. การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน
    • ทุกฝ่ายเข้าใจวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กร
    • มีการกำหนด KPIs ที่สอดคล้องกันทั้งองค์กร
  4. การทำงานข้ามสายงาน
    • สร้างทีมข้ามฝ่ายเพื่อทำโปรเจกต์หรือแก้ปัญหา
    • ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และทักษะระหว่างแผนก
  5. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความร่วมมือ
    • ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการช่วยเหลือกัน
    • ให้รางวัลและยกย่องการทำงานร่วมกันที่ประสบความสำเร็จ
  6. การจัดการกระบวนการทำงานที่ไร้รอยต่อ
    • ออกแบบขั้นตอนการทำงานที่เชื่อมโยงระหว่างแผนก
    • ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
  7. การแบ่งปันทรัพยากร
    • ใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนการใช้ความเชี่ยวชาญข้ามแผนก
  8. การตัดสินใจร่วมกัน
    • เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสำคัญ
    • ใช้ข้อมูลจากหลายแผนกประกอบการตัดสินใจ
  9. การติดตามและประเมินผลร่วมกัน
    • มีระบบติดตามความคืบหน้าของงานที่ทุกฝ่ายเข้าถึงได้
    • ประเมินผลสำเร็จของโครงการร่วมกัน
  10. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
    • รับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายเพื่อปรับปรุงการทำงาน
    • จัดให้มีการทบทวนและปรับปรุงกระบวนการทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ


การทำงานอย่างเชื่อมต่อถึงกันช่วยลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมในองค์กร ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น





ใช้ Big Data และ AI เพื่อ CRM ที่มีศักยภาพ

การใช้ Big Data และ AI เพื่อ CRM (Customer Relationship Management) ที่มีศักยภาพ หมายถึง การนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดูแลลูกค้า ซึ่งประกอบด้วยแนวคิดดังนี้

  1. การรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
    • เก็บข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เช่น การทำธุรกรรม การใช้งานเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย
    • รวบรวมข้อมูลทั้งแบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
  2. การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI
    • ใช้ Machine Learning ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
    • ทำนายแนวโน้มและความต้องการในอนาคต
  3. การสร้างโปรไฟล์ลูกค้าที่ละเอียด
    • วิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
    • สร้าง Customer Segments ที่แม่นยำ
  4. การให้บริการลูกค้าอัจฉริยะ
    • ใช้ Chatbots และระบบ AI ในการตอบคำถามและแก้ปัญหา
    • ระบบจัดลำดับความสำคัญของปัญหาอัตโนมัติ
  5. การทำ Predictive Analytics
    • คาดการณ์โอกาสในการซื้อสินค้า
    • ทำนายความเสี่ยงที่ลูกค้าจะเลิกใช้บริการ
  6. การทำ Personalized Marketing
    • ส่งข้อเสนอที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย
    • ปรับเนื้อหาและช่องทางการสื่อสารตามพฤติกรรมของลูกค้า
  7. การวิเคราะห์ความรู้สึกของลูกค้า
    • ใช้ Natural Language Processing วิเคราะห์ข้อความจากโซเชียลมีเดียและรีวิว
    • ตรวจจับปัญหาและโอกาสในการปรับปรุงบริการ
  8. การปรับปรุงกระบวนการภายใน
    • ใช้ AI ในการจัดการคลังสินค้าและห่วงโซ่อุปทาน
    • ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
  9. การทำ Real-time Decision Making
    • ตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้าแบบเรียลไทม์
    • ปรับกลยุทธ์การขายและการให้บริการอย่างทันที
  10. การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
    • ใช้ AI ในการตรวจจับการทุจริตและภัยคุกคามความปลอดภัย
    • ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า


การใช้ Big Data และ AI ใน CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว







 130
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์